[ผู้ถาม]
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์แล้วก็ทุกๆท่านค่ะ ตะกี้ได้เรียนถามท่านอาจารย์ถึงเรื่องการใช้ชีวิตในประจำวันในโลกสมมตินี่ค่ะที่เราต้องเจอผัสสะ ทุกวัน ๆ (ฟังไม่ชัด) เรื่องของการละนันทิหนะค่ะท่านอาจารย์ ควรละแบบที่ละเลยไม่ต้องคิดต่อ หรือบางสำนักรู้มันให้มันจบไปจนสิ้นกระบวนการ ว่ามันเกิดมันดับแบบไหนอะไรแบบนี้หนะค่ะ ซึ่งแบบนี้มันมีสองอันทำให้ผู้ใหม่ก็ควรจะทำยังไง ยังไงถูกต้องอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ ขอความเมตตาท่านอาจารย์อธิบายตรงนี้ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
ก็ อย่างนี้นะ ในชีวิตประจำวันเนี่ย ถ้าเรายังมีอุปกิเลสอยู่ เวลาที่จิตยังไม่สงบนี่นะ เราก็มีอุปกิเลสปรากฏใช่มั้ย อุปกิเลสเนี่ยหรือนิวรณ์ที่ปรากฏ เครื่องขวางกั้นนี่นะ เค้ามาขวางกั้นความดี ถูกมั้ย ตอนนี้อย่าพึ่งดูจิตนะ ให้ทำความสงบไปก่อนจนกระทั่งจิตเนี่ยเค้าปราศจากอุปกิเลสหรือว่าปราศจากนิวรณ์ 5 แล้ว เครื่องขวางกั้น เมื่อเราเห็นฐานจิตเนี่ยตรงนี้ตามดูรู้เรื่องไป แต่ตามตรงนี้ตามในฐานะของเป็นสัณฐานของจิตไม่ใช่ไปสนใจเรื่องราวนะ เพราะนิทานมันดับไปแล้ว อาการที่ไปคิดปรุงแต่งนั้นมันหายไป มันหายไปแล้ว อย่างนี้เราเป็นผู้รู้จิตได้
แต่ใครก็ตามเอาหลักวิธีการนี้ไปตามรู้จิตในชีวิตประจำวันที่ยังมีกิเลสหยาบ ยังมีพูดหยาบ ยังมีการกระทำหยาบๆ
ยังมีการคิดแบบหยาบๆ เนี่ย เป็นการปฏิบัติที่ไม่ตรงครับ นะ
เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าถ้ารู้นันทิเนี่ยจะละอย่างไร ก็ละแล้วก็กลับมาที่ลมหายใจ นี้คือเบื้องต้นนะ อย่าไปทำตามรู้กิเลสตัวเองรู้จิตอะไรพวกนี้ มันยังไม่ใช่นะ มันยังเป็นแค่ลูกน้องของจิตเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงแค่ผู้บริหารกิจการยังไม่เจอประธานเลย จะดูจิตหนะให้ไปดูประธานนะ อย่าพึ่งมาดูตอนนี้ มาดูตอนนี้คุณก็โดนลูกน้องหลอกนะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้คำสอนที่ให้ไหลตามความคิดเนี่ยมันไปทั่วประเทศอย่างแบบ มีกำลังมาก
[ผู้ถาม]
(เสียงไม่ชัด)
[อาจารย์ Aero.1]
ใช่ แต่ต่างประเทศเราไม่พูดมากหนะ เพราะว่าคนก็น้อยลงหนะนะ แต่สาระสำคัญในประเทศเราเนี่ย คนฝึกเรื่องนี้กันเยอะมาก ไปตามรู้จิตไปตามรู้กิเลสตัวเอง แล้วก็ ผู้เสดงก็ปาหี่ เหมือนจะรู้จิต เหมือนจะทักจิต มันก็ คนมันก็แห่ไปฟังกันหมนะ เพราะฉะนั้นให้ระวังนะ วิธีการสอนแบบ โดยที่ไม่รู้เรื่องแบบนี้ อย่าไปเชื่อ
[ผู้ถาม]
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
ให้เทียบ ให้เทียบให้ดี พระพุทธเจ้าบอกว่าอะไร พระพุธเจ้าพูดเสมอนะ ว่าให้ข่ม ไม่ใช่ให้ไปตามมันจิตอ่ะ พระพุทธเจ้าให้ทำ อะไรให้มีกระดองนะ มีที่หลบภัย พระพุทธเจ้าให้ละนันทิให้ละความเพลิดเพลิน กลับมาที่ลมหายใจคืออินทรียภาวนาชั้นเลิศ ถูกมั้ย
เพราะฉะนั้น คำสอนแบบนี้เยอะมาก แล้วก็ถ้ารู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมาเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นในเวปลานธรรมในห้องสมุดของพันทิป ตั้งแต่ผู้แสดงท่านนี้ยังเป็นฆราวาสอยู่ ตอนนั้นหนะข้อมูลในการ search อะไรต่างๆ มันน้อยมาก การประชุมธรรมอะไรต่าง ๆ มันน้อยมาก เพราะฉะนั้นสรุปความคิดที่ตกผลึกของคนในยุคนั้นหนะ มันก็สุ่มเสี่ยงต่อการที่ทำให้วิธีการปฏิบัตินี้มันออกนอกทางได้
[ผู้ถาม]
อืม
[อาจารย์ Aero.1]
เพราะฉะนั้นมหาปเทสเนี่ยจึงสำคัญมาก การที่จะไปถามผู้รู้ว่าเค้าชี้ว่าเป็นอย่างไรนี่ ผมแก้เรื่องนี้ในกระทู้พันทิปมาหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าพออ้างแบบนี้ ผมไล่ตั้งแต่ศีลเลย เคยมีคนนิมนต์ผมไปขณะเป็นพระนะ บอกว่าช่วยไปดูให้หน่อยว่าใช่มั้ย ผมก็ส่ายหน้าเลย ไปดู ส่ายหน้า ไม่ใช่แล้ว ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นเนี่ยเค้าต้องเอาศีลเป็นเรื่องหลักนะ แต่นี่ศีลไม่เรียนหนะ เพราะว่าอะไร เพราะว่าดังตั้งแต่อยู่ในเวปแล้ว บวชมาก็มีลูกศิษย์ตามแล้ว มีทายก มีผู้ให้มหาศาลแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะไปฟังคนที่เค้ารู้เรื่องศีลจริงๆ หรือพระที่ท่านแตกฉานเรื่องวินัยจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ต้องกระทำต้องเรียน จึงไม่ได้เรียน ไปศึกษาเองแล้วก็ไม่รู้ อ่านพระไตรปิฎกวินัยปิฏกนี่ถึงให้อ่าน 10 รอบเนี่ย ถ้าไม่เจอผู้รู้จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าวิธีทำอย่างไร เพราะมันต้องมีคนบอกจริง ๆ
เพราะฉะนั้นถ้าศีลไม่ละเอียด ไปปฏิบัติ แล้วยิ่งปฏิบัติไปจับหลักที่ตกผลึกมาแบบผิดๆในเวป ทางมันก็เลยออกไปเป็นแบบนี้ แล้วก็คนที่ฟังตามเนี่ยก็ไปด้วยกระแสของการประชาสัมพันธ์เรื่อง ราวต่างๆ ที่มันเป็นปาหี่ กำหนดรู้จิตกลางศาลาอะไรอย่างนี้ เธออย่าคิดอย่างนั้นสิ เอ้า บอกว่าให้คิดอย่างนั้นแล้วยังจะคิดอีก อะไรอย่างนี้ มัน ใช่เรื่องเหรอ ใช่มั้ย
ทำไมไม่ทำตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าตรัสอะไรในระดับวิธีการ แล้วมาแผ่ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสแบบนี้แล้วให้ทำแบบนี้ ไม่ใช่เอาที่พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับสตรีที่เปลื้องผ้าโดยไม่มีความละอายไปแสดงให้คนติดอย่างนั้นเหรอ แล้วเวลาติดกันแล้วมันก็เป็นพิษ เป็นพิษกันทั้งประเทศหนะ พระวางศีลกันหมด เพราะอะไร เพราะตามจิตนี่แหละ ศีลวิบัติกันหมด รู้แต่จิต กลายเป็นอย่างนั้นไป มีวิปฏิสารก็รู้มัน ตามวิปฏิสารไปอีก
วิปฏิสาร คืออะไร แปลเป็นไทยวิปฏิสารก็คือความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องของศีลวิบัติ ก็ตามรู้มันไปอีก เฮ้อ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเจตนาท่านตั้งแต่ทีแรกนี่ท่านเจตนาว่าไงท่านปราโมทย์เนี่ย ท่านเจตนาว่าไง รู้มั้ย เจตนาว่า ไอ้ตามรู้เนี่ย
เพื่อที่จะให้มีจิตอยู่กับกาย อยู่กับรูปกายกับนามกายในกายนี้ไม่ให้ส่งออกนอกตามคำสอนหลวงปู่ดุลย์ แต่ผมย้ำนะหลวงปู่ดุลย์นี้ดูจิตหมายถึงฐานจิต ไม่ใช่หมายถึงจิตปุถุชนที่อยู่ในมนุษย์โลกที่คร่ำคร่าไปด้วยสิ่งสกปรกมากมายแล้วอุปกิเลสเนืองแน่น หรือว่ากิเลสชั้นหยาบที่ยังไม่ระงับ คนละเรื่อง
เพราะฉะนั้นเจตนาเเรกที่ท่านว่าเนี่ย ก็คือเพื่อที่จะให้คนที่อยู่ในสังคมเนี่ยได้รับการปฏิบัติโดยวิธีง่ายดาย โดยวิธีง่ายดายเพราะอะไร ก็เพราะรู้จิตไปจะได้ไม่ส่งออก แต่เป็นความคิดที่ ที่ตื้นเขินเกินไป เพราะอะไร อรรถกถาท่านชี้เลยว่าการทำสติปัฏฐานเนี่ย กาย เวทนา จิต ธรรม เนี่ย ท่านห้ามไว้เลยว่าตัวจิตกับตัวธรรม ไม่ได้ให้ทำตั้งแต่เบื้องต้น แต่นี่ท่านสอนโดยที่ไม่รู้ความหนะ เหมือนเด็กหนะ นึกว่าอันนี้ดีเป็นเลิศก็ไปสอนเลยว่ากำหนดรู้จิตนี่เป็นยอดแล้ว ด้วยความไม่รู้หนะ ไม่รู้ภาษานะ การศึกษาน้อยมาก ไปเข้าใจเอง แล้วมันกลายเป็นการเบียดเบียน คำสอนในพระศาสนาลงไปสู่กุลบุตรที่ตามมามากมาย เสื่อม เสื่อมเสียมาก เพราะอะไร เพราะมันไปทำลายรากของจิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติเพราะไปตามกิเลสไปเลย รู้ตามกิเลสไป
จาก คลิป EP9 การละนันทิ, ลำดับการเรียนผู้ใหม่, เนสัชชิกและ ธุดงควัตร สนทนาธรรม ส.11 ธ.ค.64 เวลา 19.25 น.
นาทีที่ 21.59.00 ถึงนาทีที่ นาทีที่ 31.17