[ผู้ร่วมสนทนา)
อาจารย์คะ รบกวนถามคำถามข้อนึงนะคะ อันนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติของในกลุ่มเราหนะค่ะ แต่หนูอยากถามเป็นความรู้เฉยๆ
คือหนูสงสัยหนะค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
เชิญครับ
[ผู้ร่วมสนทนา)
มีเพื่อนที่เค้าปฏิบัติ เอ่อ ก็คือเค้าก็ฝึกสมาธินะคะ แต่ไม่ใช่แนวอานาปานสตินะคะ เค้าอาจจะอยู่ในกลุ่มไลน์นึงอ่ะค่ะ ทีนี้เพื่อน จริงๆ หนะ เค้าก็มาชวนหนูหนะค่ะ จริงๆ หนูก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะว่าหนูไม่ได้ไปอยู่แล้ว แต่หนูก็สงสัย ในคำพูดของเพื่อนที่ว่า เวลาเค้าคุยกับเราอย่างนี้ ตอนคุยโทรศัพท์กันหนะค่ะ เค้าบอกว่า ตอนนี้พี่ก็ทรงฌานอยู่ ทรงฌานในชีวิตประจำวันแล้วก็ในขณะที่คุยหนะค่ะอาจารย์ สงสัยตรงนี้หนะค่ะ เเต่หนูก็ไม่กล้าจะถามกลับ ว่ามันเป็นยังไง จริงรึเปล่าอะไรอย่างนี้หนะค่ะ เลยอยากจะถามท่านอาจารย์หนะค่ะ ว่าการทรงฌานในขณะที่พูดคุยกันอย่างนี้ มันเป็นยังไงหนะค่ะ หรือว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า สภาวะเป็นยังไงค่ะท่านอาจารย์ รบกวนช่วยอธิบายขยายความหน่อยนะคะ
[อาจารย์ Aero.1]
เท่าที่ศึกษานะ ตามอรรถกถานะ เเล้วก็ที่ศึกษาแล้วก็ปฏิบัติเนี่ย การพูดเนี่ยไม่สามารถเกิดได้นะ
[ผู้ร่วมสนทนา)
อ๋อ ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
แต่การขยับร่างกายเนี่ย อาจจะทรางฌานอยู่ได้
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
เอ่อ
[ผู้ร่วมสนทนา)
อาจจะมีการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนเข้าใจไปเองใช่มั้ยคะ
[อาจารย์ Aero.1]
แน่นอน โอ้โห คำว่าฌานเนี่ย ในสมัยนี้ยุคนี้ การเข้าใจว่าตัวเองทรงฌานอยู่เนี่ย แทบจะร้อยทั้งร้อย ไม่ใช่ฌาน
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ แล้วที่เค้าพูดออกมาเค้าทรงฌานเนี่ย สภาวะเค้าน่าจะเป็นยังไเหรอคะ หรือว่าจิตเค้ามีความสงบตั้งมั่นอย่างงี้เหรอคะ
[อาจารย์ Aero.1]
ก็อาจจะเป็นขณิก เป็นสมาธิแบบสืบต่อเล็กน้อย หรือว่าเป็นสมาธิแบบอยู่ในระดับขั้นกลาง แต่ข้อสำคัญหนะจะให้สมาธิระดับไหนก็แล้วแต่หรือจะเข้าไปสู่อัปปนาก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีวิปัสสนาญาณประกอบหรือไม่มีสติปัฏฐานประกอบ หรือไม่มีนามรูปปริจเฉทญาณประกอบเป็นเบื้องต้นเนี่ย
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
นั่นคือมิจฉาสมาธิครับ อันตราย
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
อย่าลืมนะ ขมวดใหม่นะ คนที่พูดว่าเข้าฌาน เข้าฌานหนะ ส่วนใหญ่คือไม่ใช่ฌาน อันดับแรกนะ อันดับที่สอง ถึงแม้จะเข้าได้ ถ้าไม่มีนามรูปปริจเฉทญาณประกอบ คือมิจฉาสมาธิ ครับ
[ผู้ร่วมสนทนา)
อย่างนี้มันก็ต้องปฏิบัติไปจนถึงอย่างที่เราเรียนกันใช่มั้ยคะ ถึงจะยกขึ้นถึงจะขึ้นสู่วิปัสสนาที่หนึ่ง ญาณที่หนึ่งอ่ะค่ะ ใช่มั้ยคะ ท่านอาจารย์
[อาจารย์ Aero.1]
ใช่ ๆ คือต้องเห็นก่อนหนะว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่งั้นก็เอาตัวตนเป็นความสงบหมด มันไม่ต่างกับปรมาตมัน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ครับ
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
มันคือตัวเดียวกันแหละ แต่ชื่อข้างขวดเปลี่ยนไง
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ อย่างที่อาจารย์เคยอธิบายให้ฟังในหลาย ๆ คลิป
[อาจารย์ Aero.1]
ใช่ ใช่
จบนาทีที่ 47.05
……หลังจากนั้นจากนั้นุผู้ร่วมสนทนาก็เล่าเรื่องที่มีคนรู้จักที่ปฏิบัติแนวแบบที่ให้เพ่งภาพพระ เอาจิตเกาะไปถึงนิพพาน
และสนทนาต่อไปจนถึงนาที่ที่ 49.43
เริ่มนาทีที่ 49.43
[ผู้ร่วมสนทนา)
มาได้ยังไงไม่ทราบค่ะ เพ่งภาพพระ
[อาจารย์ Aero.1]
ไม่เคยพูดถึงสำนักนี้เลยนะ หมายถึงในคอร์สก็ดีหรือในพื้นที่นี้น้อยมากที่จะพูดถึงสำนักนี้
[ผู้ร่วมสนทนา)
ใช่ค่ะอาจารย์ เพราะส่วนใหญ่อาจารย์จะพูดเรื่องดูจิตใช่มั้ยคะ หนูก็ฟังมาหลายคลิปแล้ว
[อาจารย์ Aero.1]
เพราะอะไร เพราะอะไรถึงไม่พูด เพราะว่าคนฝึกสายนี้น้อยลงเรื่อย ๆ น้อยลงเรื่อยๆ
[ผู้ร่วมสนทนา)
อ๋อ เหรอคะ
[อาจารย์ Aero.1]
เพราะว่าหลวงพ่อที่สอน ท่านล่วงไปนานแล้วตั้งแต่ปี 38
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ เป็นลูกศิษย์ชั้นหลังมาสอน?
[อาจารย์ Aero.1]
ใช่ ลูกศิษย์คือชั้นหลัง บุคคลสำคัญๆ ก็พึ่งมรณะภาพไปอีก เป็นญาติผมด้วย
[ผู้ร่วมสนทนา)
อ้อเหรอคะ อันนี้หนูไม่เคยทราบเลย แต่ไม่รู้เพื่อนหนูเข้าไปได้ยังไงหนะค่ะ จริง ๆหนูก็ตั้งใจว่า ถ้าเอ่อ ก็เคยแบบไปทำบุญไปวัดด้วยกันมาหลายปี หนูก็เลยแบบตั้งใจจะชวนพี่เค้าเหมือนกัน ซักพักนึงพอเราฝึกเสร็จ ทีนี้เค้าตัดหน้าชิงพูดชวนหนูก่อนไปกลุ่มนี้ หนูก็เลย หืม เสียใจเหมือนกัน หนูก็เลยไม่รู้แบบจะพูดยังไง
[อาจารย์ Aero.1]
สมัยก่อนท่านดังมาก
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
หลวงพ่อท่านนี้ท่านดังมาก แล้วก็คนตามเนี่ย เป็นเรือนล้านหนะ สมัยไล่ตั้งแต่ปี 21 มา ถึงปี 38 เนี่ย ก็ ไหน ๆ มีหัวข้อคำถามนี้ก็พูดซักเล็กน้อยนะ shortcut นะ
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
ก็ วิธีการนี้เนี่ย ถูกเรียกว่านะครับ วิชามโนมยิทธิ ของสำนักหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นมหาเปรียญนะ เปรียญ 3 แล้วก็หาที่แสวงที่ที่จะปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์นะ ท่านเรียนอยู่ในกรุงเทพนี่แหละ ท่านเกิดแถว ๆ คลองบางระมาด แถวตลิ่งชันนี่แหละ แล้วก็บวชเรียนอยู่ในกรุงเทพซักระยะนึง
พอได้มหาเนี่ย ก็ไปหาที่วิเวก ก็ไปได้ที่วิเวกที่อุทัยธานี ซึ่งเป็นที่ที่สัปปายะมากในสมัยนั้นนะ แล้วก็ร่ำเรียนวิชาจากสำนักหลวงพ่อต่างๆ นะครับ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อที่ท่านใดรู้ก็น่าจะมักคุ้นอยู่นะ ที่อยุธยาก็มีนะที่สิงห์บุรีก็มี ก็คือพระที่มีชื่อเสียงในช่วงยุค 2400 กว่าๆ ท่านก็ชำนาญในเรื่องของกสิณก็ดี ในเรื่องของสมาธิ ก็ชำนาญในเรื่องของอิทธิวิธิ ตามคำเล่าลือนะ
ทีนี้หลวงพ่อฤๅษีเนี่ย เนื่องจากท่านเป็นมหา แล้วในยุครัตนโกสินทร์เนี่ย ตอนที่เราแปลพระไตรปิฏกแล้วก็คือ 2500 เราแปลพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกสามารถอ่านเป็นภาษาไทยได้ใช่มั้ยครับ ในช่วงราวปี 2500 มาพอแปลภาษาบาลีออกมาเป็นไทยแล้วเนี่ยพระสัทธรรมก็ขยายเป็นวง ค่อย ๆขยายกว้างขึ้น เพราะสามารถหยั่งลงพระสัทธรรมได้มากขึ้นโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อโดยตรง แต่ก่อนหน้านั้นไม่มี มีก็แปลเป็นบางบทบางตอน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเนี่ย ท่านเห็นประโยชน์คัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็จับเอาคัมภีร์วิสุทธิมรรคเนี่ยมาฝึก ถือว่าเป็นคัมภีร์เอกนะฮะ แล้วก็ใช้ในการฝึกมาโดยลำดับ ซึ่งอาจารย์ของท่านก็เป็นผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ ยกตัวอย่าง เช่น ฝึกในป่าช้านะ ฝึกกับผีเลย ผีหมายถึงโลงศพนะ มีศพอยู่ในนั้น แล้วก็นั่งสมาธิข้าง ๆ อะไรอย่างนี้นะครับ จนกระทั่งจนจิตเนี่ยวางในส่วนของกามราคะ วางในส่วนของพยาบาทเข้าสู่ความที่ปราศจากนิวรณ์ได้ เค้าฝึกมาแบบนั้น แล้วท่านก็พิจารณาตัวนิวรณ์แล้วก็องค์ธรรมได้นะครับว่า ตรงนั้นหนะอยู่ในฌานนะครับ
ทีนี้พอ ฝึกไปเรื่อยๆ เนี่ย อาจารย์ของท่านเนี่ยก็สอนไม่ใช่แค่กองเดียวแต่สอนแทบจะทั้งหมดในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเลย โดยเฉพาะท่านเป็นมหาด้วยเนี่ย ท่านก็แตกคัมภีร์เหล่านั้น กลายเป็นสำนักที่มีชื่อของประเทศเลย ณ. ช่วงเวลานั้น
ทีนี้มาดูวิชาหลักของท่าน วิชาหลักเรียกว่าวิชามโนมนิทธิเนี่ย ต้องเข้าใจอย่างนึงว่ามโนมยิทธิตามคำพระพุทธเจ้า กับตามคำของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเนี่ย อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเนี่ย ใช้วิชาการมองภาพระเนี่ยเป็นตัวต้นนะ แล้วใช้กำลังของพระพุทธเจ้าที่ท่านว่าเนี่ย มาเป็นตัวทำให้เกิดมโนมยิทธิ คำว่ามโนมยิทธิ แปลเป็นไทย ก็คือ ฤทธิ์ทางใจ สามารถรู้ได้โดยผ่านมโนทวารนั้นแหละ เป็นฤทธิ์ทางใจ
แต่ตอนที่ท่านไปฝึกมโนมยิทธิเนี่ย ท่านไปฝึกกับชายขี้เมานะ เป็นฆราวาสขี้เมาสอนให้ท่านเห็นภาพอย่างนี้นะ ส่องไฟฉายไที่หน้าแล้วก็เห็นภาพพระปรากฏขึ้น แล้วก็ติดต่อภพภูมิด้วยวิธีนั้นนะฮะ ซึ่งตรงนี้ ขีดเส้นใต้ไว้ก่อน ผมไม่ฟันธงนะว่าสิ่งที่ท่านรู้เนี่ยจะเป็นสิ่งที่รู้โดยบริสุทธิ์หรือเปล่า เพราะโดยช่วงหลังของบั้นปลายชีวิตท่าน ญาณท่านก้ไม่ตรงนะ ถ้าใครได้ศึกษางาน เอาศึกษาจริงจังนะลึกซึ้งนะ ไม่ใช่ลูบคลำศึกษาแล้วมาพูดคุยในเว็บไซต์หรือว่าใน youtube ที่กำลัง จะลงไม่เอานะ เอาแบบลึกซึ้งนะ ก็ต้องรู้ว่าบั้นปลายของชีวิตท่านญาณก็ไม่ตรง
เพราะฉะนั้น ถามว่าต่างกับคำสอนที่เป็นอิทธิวิธิในส่วนของมโนมยิทธิของที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างไร ก็ วิธีฝึกคนละเรื่อง แสงที่เกิดขึ้นที่พระพุทธเจ้ารัสเนี่ย เป็นเรื่องของการเห็นภวังคจิต เป็นเรื่องของวัตถุที่ 9 ถ้าเทียบตามอานาปานสติ ไม่ใช่แสงที่เกิดจากแสงสว่างที่ส่องหน้าแล้วมาทำให้เกิดเห็นนิมิตอะไรต่าง ๆ นะ เพราะอะไร เพราะเกิดจากการที่ตัวที่อุปกิเลสเนี่ยสงบระงับไปแล้ว ตัวกรรมฐานถูกตั้งแล้วถึงจะไปเห็น แล้วเห็นโดยเหตุและปัจจัยนะครับ ไม่ใช่เห็นโดยอยากที่จะให้เห็น นี่ต่างกันตรงนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านเรียนฉันทะอิทธิบาทเนี่ย ฉันทะท่านมุ่งผลเยอะมาก แง่มุมตรงนี้ต้องเข้าใจ ทีนี้ในที่เราเรียนในห้องนี้ เราจะรู้ได้ว่าเราไปปักฉันทะที่ผลไม่ได้ มันจะเข้าสู่นันทิราคะเข้ามาประกอบ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ทิฏฐิและสีลสามัญญตา และทิฏฐิสามัญตาเนี่ยลงรอยกับสายพระป่าไม่ได้ ด้วยเหตุที่ว่าท่านยังรับเงินอยู่นะ ซึ่งปาจิตตีย์ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ท่านเคลียร์ไม่บริสุทธิ์นะ และท่านก็บอกว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ในเมื่อที่อื่นที่เค้าบอกไม่รับนั่นหนะ ข้างหลังเค้าก็มีเงินในบัญชี
ซึ่งผมพูดเสมอนะครับ ถึงแม้จะมีเงินในบัญชีเป็นร้อยล้าน ถ้ารับตรงตามเมณฑกานุญาตแล้วนั้นหนะ ก็ไม่เป็นอาบัติ ไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณเลยเกี่ยวกับวิธีการ เพราะฉะนั้นจะเป็นด้วยเหตุผลใด ๆ ก็แล้วแต่ ที่สุดของสำนักท่านหนะ ก็ยังไม่สามารถเคลียร์วินัยที่เป็นอาทิพรหมจริยกาสิกขา 150 ข้อได้ ที่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ที่เป็นเบื้องต้นของนิพพาน 150 ข้อ ไม่เคลียร์นะครับ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติหนะ การที่จะให้มียถาภูตญาณทัสสนะก็ดี สติปัฏฐานก็ดี ญาณอิ่นๆ ประกอบก็ดี เช่น นามรูปปริจเฉทญาณเป็นต้นนั้นหนะ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ครับ นี้ตามฆราวาสูตรที่ 2 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ใช่ฐานะ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามผมนะว่าจะฝึกวิธีนี้อย่างไร เราดูได้แค่เป็นภาพประกอบเท่านั้น เพราะตั้งแต่ตั้งรัตนโกสินทร์มาเนี่ย ไม่มีพระรูปไหนเทศน์วิสุทธิมรรคได้ละเอียดเท่าท่านนะ ท่านแทงทะลุหมด จะด้วยเหตุที่ว่าถ้าถอยหลังปี 2400 กว่าๆ ถอยหลังลงไปจนถึงรัตนโกสินทร์ จนถึงอยุธยาเนี่ย ผู้ที่เข้าถึงตำราในพระศาสนาเนี่ยมีน้อยมาก
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเนี่ยจึงเป็นผู้เอกอุด้านนึงนะ ในการขวนขวายในการศึกษาที่มีรูปแบบที่ชัดเจน แต่ส่วนตรง หรือไม่ตรงเคลื่อนตรงไหนอย่างไรเนี่ย จะมีก็มีอย่างที่บอกนะฮะ เป็นข้อสังเกต แล้วถึงทำให้ผลของการปฏิบัติเนี่ยเชื่อถือได้มากเพียงไร ก็ผู้รู้ใช้วิจารณญาณ ในการดูเองนะ และผมก็ต้องบอกนิดนึงนะครับว่า ในการที่ผมเข้ามาศึกษาในปี 40 กว่านั้นหนะ ผมก็อาศัยเทปคาสเซ็ทของท่านหนะ ในการเรียนรู้อานาปานสตินะ จำได้ว่ามีเก้าม้วน ผมฟังอยู่ประมาณซักเป็นร้อยรอบหนะ เก้าม้วนนั้นหนะ
[ผู้ร่วมสนทนา)
ค่ะ
[อาจารย์ Aero.1]
ห้าสิบถึงร้อยรอบหนะ เยอะมาก ฟังทุกวันฟังตลอด นำไปสู่การที่ท่านบอกนะฮะว่ารู้ลมเนี่ยให้รู้ทั้งวัน บอกละเอียดมากแล้วก็เป็นลำดับเลย เพราะท่านศึกษามาดีตามวิสุทธิมรรค อันนี้ก็เป็นพระคุณท่านนะ ระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์นะครับ แล้วก็มือขวาท่านหนะ ก็เป็นญาติอย่างที่บอกหนะ ก็มอบทั้งหมดให้ ตำราทั้งหมด เทปคาสเซ็ททั้งหมด ก็ได้ศึกษามาในช่วงเวลานั้น แล้วก็นำมาซึ่งการคัดกรองแยกธรรมะมาจนถึงปัจจุบันนะ สำนึกคุณท่านครับ ประมาณนี้นะ
หมายเหตุ
*** ฆราวาสูตรที่ 2 (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกหรือเปล่า)
จากเทปคลิป
EP15มโนมยิทธิ(ฤทธิ์ทางใจ), วิธีแก้ความหวั่นไหวดิ้นรน, การภาวนากับอาชีพ ส.1 ม.ค.65 เวลา 19.30 น.
นาทีที่ 43:50 ถึงนาทีที่ 47.05 ,
และ นาทีที่ 49.43 ถึงนาทีที่ 1:01:23