[ผู้ดำเนินรายการของการ Live วันที่ .23 มี.ค.2565]
เรียนเชิญอาจารย์เล่าที่ไปปลีกวิเวกให้สมาชิกฟังหน่อยอ่ะค่ะอาจารย์
[อาจารย์ Aero.1]
ก็อาจจะมีคำถามหนะนะว่า ทำไมผมต้องไปหาโคนไม้หนะเนาะ ทำไมต้องไปหากายวิเวก พระพุทธเจ้าตรัสนะว่าการจะเข้าสู่จิตตวิเวก อุปธิวิเวกได้เนี่ย ต้องมีกายวิเวกก่อน อันนี้พระสูตรแรกๆ นะพระองค์ก็ตรัสอย่างนั้นนะ
คราวนี้กายวิเวกคืออะไร ก็หลังจากเรียนรู้ขั้นตอนปฏิบัติอะไรเรียบร้อย ดำเนินชีวิตอะไรเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนภาวนาเป็นแล้ว พระองค์ก็ให้หาวิเวก
คำว่าวิเวกคืออะไร วิเวกพระองค์ตรัสว่า อรัญญคโต วา รุกขมูลคโต วา สุญญาคารคโต วา หมายถึงอะไร 3 ข้อนี้หนะนะ ก็หมายถึงไปป่า ไปโคนไม้ แล้วก็ไปเรือนว่าง
ทีนี้คำถามตามมาว่า เอ๊ แล้วที่บ้านเราเนี่ยมันเป็นกายวิเวกได้มั้ย พระองค์ก็ตรัสเรื่องของสุญญตา นะ การว่างจากความหมายมั่นเนี่ย ก็ทำให้เมืองนี้เป็นป่าก็ได้ ก็คือไม่หมายมั่นว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกบ้าง หรือว่าอะไรต่าง ๆบ้างหนะนะ แต่ข้อสำคัญอันนึงเนี่ยมันอยู่ตรงที่เรื่องของเสียงด้วยนะ เสียงเนี่ย ถ้าเป็นเสียงในป่าเค้าก็บอกว่าในป่าก็มีเสียง พระพุทธเจ้าตรัสว่าเสียงเป็นข้าศึกของฌาน
แต่เสียงในป่าเนี่ย กับเสียงในเมืองมันไม่เหมือนกันนะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเสียงที่เป็นข้าศึกของฌานหรือเนกขัมมะเนี่ย
ก็คือเสียงของช้างม้า เสียงทำการค้า เสียงอึกทึกของชาวบ้านอะไรต่างๆ เหล่านั้นหนะ เป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงชี้สมรภูมินะ ว่าให้ไปที่สงัด สงัดจากเสียงที่เป็นข้าศึกนะ ไม่ใช่สงัดจากเสียงนะ อันนี้ฟังให้ดี ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะต้องไปอุดหูกันด้วยเครื่องมืออะไรต่างๆ เพื่อไม่ให้มีเสียง ซึ่งไม่เกี่ยวนะ
แล้วเสียงที่เป็นธรรมชาติเนี่ย เวลาที่จิตใกล้หลอมกับธรรมชาติเนี่ย เสียงที่เป็นธรรมชาติจะแสดงความอัศจรรย์ด้วย แต่เสียงที่เป็นข้าศึก เสียงที่เกิดจากการปรุงแต่งของมนุษย์หนะ มันฉาบทาด้วยความอยากความดิ้นรนหนะนะ ตรงนั้นหนะ ถ้าเราไปเสพบ่อยๆ บ่อย ๆ โดยที่เรารู้เท่าไม่ทันนะ หรือไม่มีสุญญตสภาวะเนี่ย มันก็เป็นพิษต่อความสงบนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้ผมได้แสวงหาด้วยหนะนะ และหลังจากที่บรรยายคอร์สหรือว่าเข้าไปอยู่ในป่าตั้งแต่ หลายๆ คอร์สที่ผ่านมาเนี่ย ก็ทำให้เกิด บอกกับตัวเองว่าเราต้องทำแบบต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นหลังจากผ่านคอร์สก็เข้าต่อเนื่องเลย เพื่อที่จะทำความคุ้นชินให้เกิดสภาพธรรม แล้วก็ที่ปฏิบัติเนี่ย ที่เป็นที่เก่า ๆ ของครูบาอาจารย์ยุคหลวงปู่มั่นที่ท่านทำไว้นั่นหนะ เราก็มาหาสถานที่ด้วย เผื่อในอนาคตเราจะทำคอร์สที่เหมาะกับฤดูต่าง ๆ ที่เหมาะกับภูมิภาคต่างๆ ให้กับคนที่มาภายหลังนี่แหละ
ฉะนั้นการมาเนี่ย ก็เป็นการมาด้วยกิจธุระด้วย ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านนะ อันนี้คือเจตจำนงค์และวัตถุประสงค์นะ มาแล้วก็ทำให้ความว่างปรากฏเนี่ย การจะทำอะไรมันก็รู้เท่าทันได้ ว่าควรจะทำอะไรต่อ
เพราะว่าช่วงชีวิตต่อไปเหล่านี้ของผมหนะนะ ผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ มากกว่าช่วงเวลาที่ผ่านๆมา เพราะว่าผมจะดำเนินอะไรก็แล้วแต่ทุกวันนี้ ระแวดระวังมาก เพราะอะไร เพราะทุกคำพูดถูกบันทึกหมด นอกจากถูกบันทึกแล้วนี่ย ลองคิดดูว่า หลายๆ ท่านได้อยู่ในห้องนี้มาเนี่ยจะได้รู้ว่าวิธีการที่เราพูดสอนหรือบอก สอนในห้องนี้เป็นวิธีการที่แทบจะไม่เหลือแล้วในโลก
เพราะฉะนั้นในอนาคตอันใกล้ ถ้าธรรมนี้ได้ถูกเปิดออกไปเรื่อยๆ เนี่ย สำหรับผู้มีปัญญาเนี่ย อย่างที่บอกนะครับว่า เค้าจะต้องมีดวงตาที่เบิกโพลง และท่านเหล่านั้นจะบอกต่อ ซึ่งผมพิสูจน์มาหลายที่แล้วเป็นอย่างนั้น
เมื่อถึงวันนึงเนี่ยคนจะเข้ามาศึกษาแนวนี้อย่างมาก เพราะฉะนั้นผมต้องเตรียมการไปถึงวันนั้น
โดยการมาเนี่ย ประโยชน์ตนเป็นอันดับต้น ผมไม่ได้แสวงหาผู้ฟังใด ๆ ทั้งสิ้นนะฮะ ไม่ได้ตั้งความอยากตรงนั้นเลย บอกมาตลอด แต่ที่ทำเนี่ยก็เพราะว่าไม่มีคนพูด ไม่มีคนอธิบายแบบนี้ ก็จำเป็น ทีนี้พอทำแล้วเนี่ยก็ต้องวางว่า เราจะทำยังไงให้ศาสตร์และวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ หรือประทานออกมาเนี่ย ในหลักสูตรอานาปานสติ 16 วัตถุเนี่ย อย่างตรงทางเนี่ย นอกจากเปิดเผยขึ้นมาแล้วเนี่ย จะทำยังไงให้สืบต่อไป
ต้องย้ำนะ ผมไม่ได้ทำด้วยอำนาจกิเลสนะ ไม่มีเรื่องของ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือสักการะ หรือแม้สุขคติโลกสวรรค์เป็นที่ตั้ง ไม่มีเลย ผม check ตัวเองดี แต่ทำด้วยการตอบสนองคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง และข้อสำคัญ ย้ำไปที่ว่า หันหลังไปไม่เห็นใคร ไม่อยากจะบอกใครเลย ไม่สนใจเลยนะ
ไม่สนใจใครหรอก นะ แต่ไม่ทำไม่ได้ไง
จากคลิป
Ep38 สนทนาธรรม พ.23 มี.ค.65 โดยท่านอาจารย์ Aero.1
นาทีที่ 1:11:08 -นาทีที่ 1:18:42